วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แบบเสนอโครงร่างโครงงาน

แบบเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์

ชื่อโครงงาน
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
ประเภทโครงงาน
โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
นาง สาวกมลวรรณ ครุฑเคลือ
นาง สาวสโรชา นกโวหาร
นาง สาวรุ้งเงิน ขำวงศ์ 
ครูที่ปรึกษาโครงงาน
            คุณครู สุพรณ์ นวลเชย
ครูที่ปรึกษาร่วม
          คุณครู อรรถวิทย์  พินิจนัย
ระยะเวลาดำเนินงาน
            10 พฤศจิกายน 2559 -  28 กุมภาพันธ์ 2560


แนวคิดที่มา และความสำคัญ
ได้มาจากการดูรายการโทรทัศน์แล้วน่าสนใจทำให้นึกแนวคิดอยากเผยแพร่การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เยาว์ชนและผู้สูงอายุคที่ดูได้รู้จักท่าออกกำลังกาย
วัตถุประสงค์
1. เป็นการศึกษาท่าออกกำลังกายหลายๆท่า
2. เพื่อเป็นการให้คนในชุมชนได้ออกกำลังกาย
3. เพื่อสุขภาพที่ดี
หลักการและทฤษฏี
            ใช้โปรแกรม viva video ในการตัดต่อวิธีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แนะนำท่าออกกำลังกายและบอกวิธีการทำ

วิธีการดำเนินงาน
1.หาท่าออกกำลังกาย
2.อัดVDO
3.ตัดต่อVDO
งบประมาณ
 90-100
ผู้รับผิดชอบ
 1.กมลวรรณ
 2.สโรชา
 3.รุ้งเงิน

ขั้นตอนการปฏิบัติ
วัน/เดือน/ปี
กิจกรรม
ผู้รับผิดชอบ
13/12/2559
หาท่าออกกำลังกาย
กมลวรรณ ครุฑเคลือ
22/02/2560
อัดคลิปออกกำลังกาย
รุ้งเงิน ขำวงศ์
25/02/2560
ตัดต่อVDO
สโรชา นกโวหาร


ผลที่คาดว่าจะได้รับ
            ผู้ชมสามารถนำไปใช้ได้จริงและรู้วิธีการออกกำลังกาย
เอกสารอ้างอิง
www. Women.trueid.net วันที่ 13/12/2559
ผลการพิจารณาโครงงาน
อนุมัติ                                         ควรปรับปรุง





ลงชื่อ................................................................

            ครูที่ปรึกษาโครงงาน

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การตั้งคำถามในแบบสอบถาม

แบบสอบถาม ถือเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายแทบจะทุกวงการ เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลสิ่งแรกที่ทุกคนจะคิดถึง และคุ้นเคย คือการใช้แบบสอบถามไปถามข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ

“แบบสอบถาม ใช้เมื่อต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง

แม้ว่าหลักการเลือกใช้แบบสอบถาม คือเราจะเลือกใช้เมื่อต้องการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้หมายความว่าเครื่องมืออื่น ๆ ไม่ต้องการข้อเท็จจริงหรอกนะ หลักการคือ หากเราต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง คำคอบที่ตอบไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมายทุกคนจะเข้าใจตรงกัน เช่น ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ เพศ อายุ อาชีพ ซึ่งเมื่อได้คำตอบแล้วผู้ศึกษาไม่ต้องการคำอธิบายเชิงลึกว่าทำไมจึงได้คำตอบเช่นนั้นมา (ซึ่งเชื่อแน่ๆว่าเวลาเราได้คำตอบมาว่า เพศชาย รึเพศหญิง เราคงไม่ถามต่อว่าทำไม??)
Slide27
จากประเด็นนี้เองแบบสอบถามจึงเป็นที่นิยมที่จะเลือกใช้ในการศึกษาหรือการสำรวจหาคำตอบในภาพกว้าง เพื่อการบรรยายสภาพ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยการเลือกใช้คำถามเป็นสิ่งกระตุ้นให้ได้คำตอบหรือข้อมูลที่ต้องการ แล้วนำข้อคำถามเหล่านี้มารวมกันเป็นชุด ๆ เพื่อรวบรวมคำตอบหรือข้อมูลที่ได้มาอธิบายปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษา
สำหรับหลักการในการสร้างแบบสอบถามจะเริ่มต้นเหมือน ๆ กับการสร้างเครื่องมือทุกชนิดนั่นคือ เริ่มต้นจากการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของโครงการ/งานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์สิ่งที่ควรพิจารณาควรเริ่มต้นในการตอบคำถามให้ได้ว่า
  1. ประชากรในโครงการ/งานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่นี้คือใคร อยู่ที่ไหน และมีการกระจายตัวอย่างไร และเราจะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรกลุ่มนี้ได้อย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้มาจากการตอบคำถามเหล่านี้จะเป็นที่มาของการเลือกกลุ่มตัวอย่างว่าจะใช้วิธีได้มาซึ่งตัวอย่างได้อย่างไร ขนาดเท่าไหร่
  2. ลักษณะที่ศึกษา คือการพิจารณาว่าวัตถุประสงค์ต้องการรู้อะไร เช่น หากวัตถุประสงค์ต้องการทำการศึกษาถึงปรากฏการณ์หรือศึกษาสภาพ สถิติที่ให้จะเป็นสถิติเชิงบรรยาย กลุ่มสถิติจำพวก ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้น หากวัตถุประสงค์ต้องการให้เปรียบเทียบ สถิติที่ใช้จะเป็นสถิติเชิงเปรียบเทียบ คำตอบที่ได้มาคือต้องตอบได้มาอะไรมากกว่าอะไร หรือสถิติจำพวกสถิติทดสอบที (t-test) สถิติทดสอบความแปรปรวน (ANOVA) เป็นต้น ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า ลักษณะที่ทำการศึกษาจะเป็นที่มาของสถิติที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
  3. ตัวแปรที่ทำการศึกษา เมื่อได้สถิติจากการพิจารณาลักษณะที่ศึกษาจะทำให้เรารู้ว่าวัตถุประสงค์เหล่านี้ต้องการศึกษาตัวแปรใด เช่นวัตถุประสงค์ต้องการเปรียบเทียบความพึงพอใจที่มีต่องานนิทรรศการระหว่างชายและหญิง แสดงให้เห็นว่าตัวแปรที่ต้องการศึกษา คือตัวแปรความพึงพอใจกับเพศนั่นเอง
Slide25
จากการวิเคราะห์วัตถุประสงค์จะทำให้เราสามารถกำหนดข้อคำถาม ระดับการวัดของตัวแปรที่เหมาะสมกับสถิติที่ต้องการช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และตั้งข้อคำถามที่เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างที่เราจะไปเก็บรวบรวมข้อมูล กล่าวคือ หากเราต้องการเก็บข้อมูลกับเด็กชั้นประถมศึกษา หรือกับคนทำงานในออฟฟิศ ข้อคำถามที่เลือกใช้ในการถามเด็กต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป ในขณะที่คนทำงานออฟฟิศอาจสามารถใช้ข้อคำถามหรือภาษาที่ยากขึ้น เป็นต้น
Slide28
Slide29

“โดยทั่วไปแล้วแบบสอบถามเหมาะสำหรับใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้สึก ความคิดเห็น ทัศนคติ และความสนใจ” สามารถแบ่งรูปแบบของแบบสอบถามได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบสอบถามปลายปิด และแบบสอบถามปลายเปิด

แบบสอบถามปลายปิด แบบสอบถามที่มีคำถามปลายปิด เป็นแบบสอบถามที่ให้ผู้ตอบเลือกตอบตามตัวเลือกที่กำหนดให้ไว้แล้วเพียง 1 คำตอบ หรือหลายคำตอบ ลักษณะของแบบสอบถามที่มีคำถามปลายปิด ที่มีตัวเลือกให้ผู้ตอบเลือกคำตอบที่กำหนดมากเรียบร้อยแล้ว แบ่งลักษณะของข้อคำถามได้ 4 แบบดังต่อไปนี้
  1. ข้อคำถามที่ให้เลือกตอบเพียงคำตอบเดียว
  2. ข้อคำถามที่ผู้ตอบสามารถเลือกตอบได้หลายคำตอบ
  3. การให้ผู้ตอบประมาณค่าของคำตอบแล้วตอบเพียงคำตอบเดียว
  4. การให้เรียงอันดับตามการประมาณค่า
Slide33
แบบสอบถามปลายเปิด เป็นแบบสอบถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบได้อย่างอิสระโดยไม่มีการจำกัดคำตอบไว้เป็นตัวเลือกเหมือนคำถามปลายปิด โดยทั่วไปแล้วแบบสอบถามปลายเปิดจะแบ่งเป็นสองลักษณะคือ
  1. แบบเขียนตอบแบบสั้น แบบสอบถามที่เป็นการตั้งคำถามให้ผู้ตอบตอบแบบสั้น ๆ หรือลักษณะของคำตอบเป็นคำตอบสั้น ๆ ไม่จำเป้นต้องอธิบายทุกคนสามารถเข้าใจความหมายในคำตอบนั้น ๆ ตรงกัน
  2. แบบเขียนตอบแบบยาว แบบสอบถามเช่นนี้จะเป็นข้อคำถามที่ต้องการคำตอบจากการอธิบายรายละเอียด หรือแสดงความคิดเห็นถึงสิ่งต่าง ๆ หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกมาใช้อธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
หลักในการสร้างแบบสอบถาม
  1. วิเคราะห์จุดมุ่งหมายและความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ของโครงการกับตัวแปรที่จะทำการศึกษา
  2. การสร้างข้อคำถามในแบบสอบถามต้องสร้างข้อคำถามที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสิ่งที่เรากำลังศึกษาอยู่ หรือสิ่งที่กำลังต้องการหาคำตอบ
  3. การสร้างข้อคำถามไม่ควรถามนอกประเด็น เพราะจะทำให้ข้อคำถามยืดเยื้อ หรือมีจำนวนคำถามมากจนเกินไป ดังนั้นคำถามที่เราจะนำมาถาม เราต้องแน่ใจว่าเราจะเอามาใช้ประโยชน์จากคำตอบนั้นจริง ๆ (งานนี้อย่าโลภ หรือคิดว่าถามๆ มาก่อนค่อยว่ากันว่าจะเอามาทำอะไร)

    “จงจำไว้เสมอว่าถามเฉพาะที่จำเป็น ถามมาต้องเอามาใช้ ถามขาดไม่ได้ ถามเกินมาก็เสียเปล่า”

  4. แบบสอบถามที่เหมาะสม ไม่ควรมีคำถามที่มากเกินไป (ควรมีข้อคำถามประมาณ 25-60 ข้อ)เพราะหากมีมากเกินไปจะทำให้ผู้ตอบเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากตอบ
  5. สิ่งที่ควรจะต้องทำเวลาที่เราจะทำการสร้างแบบสอบถามเราควรที่ต้องวางโครงสร้างของประเด็นคำถามก่อน โดยประเด็นต่าง ๆ ต้องครอบคลุมเรื่งที่เรากำลังศึกษา
  6. การสร้างข้อคำถามควรมีเารเรียงลำดับเหตุการณ์ให้มีความสัมพันธ์กันในแต่ละข้อ ข้อคำถามไม่ควรกระโดดไป กระโดดมา เพราะจะทำให้ผู้ตอบสับสน
  7. ข้อคำถามความใช้คำที่สั้น กระทัดรัด ได้ใจความ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่กำกวม ข้อความที่มีคำเชื่อมจำพวก ‘ต่อ แต่ และ หรือ’ หรือคำเชื่อมประโยคต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะทำให้ข้อคำถามมีความกำกวม
  8. ไม่ควรใช้คำถามนำ ที่จะนำไปสู่คำตอบที่ผู้ถามต้องการ
  9. ไม่ควรถามเรื่องที่เป็นความลับ หรือสิ่งอ่อนไหว ซับซ้อน เพราะจะทำให้ผู้ตอบไม่ตอบความจริง
  10. ควรคำนึงถึงคุณลักษณะของผู้ตอบ เพื่อการตั้งคำถามที่เหมาะสม เช่น ระดับการศึกษา สังคม วัฒนธรรม เป็นต้น
  11. การสร้างคำถามควรมีเพียงประเด็นเดียวในหนึ่งคำถาม เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
  12. หากเป็นคำถามปลายปิด ความมีตัวเลือกที่ครอบคลุมคำตอบทั้งหมด หรือครอบคลุมส่วนใหญ่ของผู้ตอบ
  13. ควรคำนึงถึงวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ด้วย
Slide55
เมื่อสร้างแบบสอบถามเสร็จเรียบร้อยแล้วสิ่งสำคัญต่อมาคือการหาคุณภาพเครื่องมือ หรือการหาคุณภาพของแบบสอบถาม หากอธิบายในมุมมองของนักวิชาการการหาคุณภาพเครื่องมือจะมีอยู่ 7 อย่างด้วยกัน ดังนี้
  1. Reliability เครื่องมือที่ดีควรเป็นเครื่องมือที่มีความเที่ยง กล่าวคือ แบบสอบถามที่ดี เมื่อเอาไปใช้แล้วต้องได้คำตอบเดิม คำตอบไม่สะเป่ะสะป่ะ
  2. Validity เครื่องมือที่ดีควรเป็นเครื่องมือที่มีความตรง กล่าวคือ แบบสอบถามที่ดีต้องถามตรงกับสิ่งที่ต้องการวัด หรือวัดในสิ่งที่ตรงกับเป้าประสงค์
  3. Objectivity เครื่องมือที่ดีควรเป็นเครื่องมือที่มีความเป็นปรนัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ว่าใครจะนำไปใช้จะมีความเข้าใจที่ตรงกัน นั่นคือไม่สามารถตีความเป็นหลายแง่
  4. Discriminately เครื่องมือที่ดีต้องมีอำนาจจำแนก ซึ่งเครื่องมือวัดที่ดีต้องสามารถจัดจำแนกกลุ่มผู้ตอบออกจากกันได้ เช่น แยกเด็กเก่ง เด็กอ่อนออกจากกันได้
  5. Difficulty เครื่องมือที่ดีต้องมีระดับความยากง่าย เช่น ความยากง่ายของระดับคำถามต้องมีความยากง่ายที่เหมาะสมกับผู้ตอบ
  6. Non-Reactivity เครื่องมือที่ดีไม่ควรมีปฏิกิริยาต่อผู้ให้ข้อมูล หรือต้องไม่อิทธิผลต่อผู้ตอบ
  7. Efficiency เครื่องมือที่ดีต้องมีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า คุ้มทุน คุ้มเวลา
หากมองในมุมมองของนักวิชาการ การที่เครื่องมือทุกชนิดที่สร้างขึ้นแล้วมีการหาคุณภาพของเครื่องมือได้ครอบคลุมจะเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเครื่องมือที่นำมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มีคุณภาพ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพตามมาด้วย
แต่โดยทั่วไปอาจไม่สามารถที่จะหาคุณภาพได้ครอบคลุมทุก ๆ อย่างข้างต้น ดังนั้นอย่างน้อย ๆ เราความมีการหาคุณภาพเครื่องมืออย่างน้อย 2 อย่าง (กำหนดไว้เป็นขั้นต่ำ) ซึ่งส่วนมากจะเป็นการหาค่า Reliability และ Validity เพราะมีวิธีการหาคุณภาพที่ไม่ถือว่ายากเย็นนัก
การหา Validity สามารถทำได้โดยการนำแบบสอบถาม หรือเครื่องมือที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านเนื้อหาของเรื่องที่ทำและหากจะให้ดีควรมีผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลวิจัยร่วมอยู่ด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะทำหน้าที่ในการพิจารณาความสอดคล้อง ครอบคลุมของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยปกติจะใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนเป็นเลขคี่ เพื่อหาฉันทามติ เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยถือว่าผ่าน ซึ่งโดยมากคำตอบที่ได้กลับมาจะเป็นประเภทเห็นด้วย แต่มีข้อเสนอแนะให้ปรับแก้ข้อคำถามในบางประเด็นให้มีความชัดเจนมากขึ้น (ซึ่งจะเป็นครอบคลุมความเป็นปรนัยได้ด้วยในตัว)
การหาค่า Reliability สามารถทำได้ด้วยการนำแบบสอบถามที่ผ่านผู้เชี่ยวชาญแล้วไปทดลองเก็บข้อมูลกับกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง หากเป็นนักสถิติจะทำการเก็บรวบรวมหรือทดลองเก็บในจำนวนที่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์หาค่าในเชิงสถิติ แต่หากไม่ชำนาญอาจทำได้ด้วยการทดลองเก็บเพื่อตรวจสอบดูว่าผู้ตอบเข้าใจข้อคำถามตรงกับผู้วิจัยหรือผู้ศึกษาหรือไม่ ซึ่งถ้ามีความเข้าใจตรงกันคำตอบที่ได้จะมีคงเส้นคงวาเสมอ
เพียงเท่านี้เราก็ได้แบบสอบถามที่ผ่านการหาคุณภาพเครื่องมือและเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการเก้บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีคุณภาพแล้ว แต่ถ้าจะให้ดี ในกรณีที่มีผู้ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลหลายคน ควรเพิ่มขั้นตอนในการอธิบายถึงเป้าหมาย และรายละเอียดต่าง ๆ ของแบบสอบถม และควรให้ทดลองเก็บข้อมูลก่อนลงเก็บจริง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และป้องกันการเกิดความผิดผลาดจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากคนหลายคนด้วย

Slide56
Slide57

กิจกรรมที่ 4

กิจกรรมที่ 4
ให้นักเรียนฝึกเขียนโครงร่างงานวิจัย โดยใช้แบบฟอร์มต่อไปนี้
                                                                โครงร่าง  IS1                             กลุ่มที่ ................  เลขที่ ..........ห้อง........
ชื่อเรื่อง………………………………………………………………………………………..
คณะผู้จัดทำ……………………………………………………………………………………
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
..........................…………………….…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
วัตถุประสงค์
………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………................……………...…
สมมติฐานการศึกษา.
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
ขอบเขตของการวิจัย
1.              ประชากรที่ใช้ในการศึกษา
……......……………………………………………………………………………………………………
.........…………………………………………………………………………………………………………
          2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
…………………………………………………………………………………………….....……………………….
……………………………………………………………………………………………………......…….…………
3.               เนื้อหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….......................
4.              ระยะเวลา
………………………………………………………………………………………………………......…………….
นิยามศัพท์เฉพาะ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...............
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
...........................................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................................
ครูสุพรณ์  นวลเชย     ทีปรึกษา 
IS1

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

pretest

ตอนที่ 1 
คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
1. “การนำผลการศึกษาค้นคว้า มาเขียนเรียงเรียงใหม่ อย่างมีระเบียบแบบแผน” ข้อความนี้กล่าวถึงข้อใด
      ก. ข่าว                                              ข. รายงาน
ค. วิทยานิพนธ์                              ง. นวนิยาย
2. รายงานทั่วไป แตกต่างจากรายงานทางวิชาการ อย่างไร
ก. มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
ข. ใช้สำนวนภาษาที่เรียบง่ายปราศจากการต่อเติม
ค. มีระบบการอ้างอิงที่มาของข้อมูล
ง. ถูกทุกข้อ
3. จากคำกล่าวที่ว่า รายงานยิ่งยาว ความน่าอ่านก็ยิ่งลดลง” ท่านเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ก. เห็นด้วย เพราะ คนเรามักขี้เกียจอ่านหนังสือ
ข. เห็นด้วย เพราะ ผู้อ่านส่วนใหญ่สนใจแต่ปัญหาและข้อสรุปเท่านั้น
ค. ไม่เห็นด้วย เพราะ มีการใช้พรรณาโวหารเปรียบเทียบ
ง. ไม่เห็นด้วย เพราะ การอ่านรายงานเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง
4. ข้อใดไม่ใช่จุดประสงค์ของการเขียนรายงาน
ก. เพื่อบอกเล่าข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลความรู้
ข. เพื่อชักจูงให้เชื่อถือ
ค. เพื่อแสดงตัวตนของผู้เขียน
ง. เพื่อประโยชน์ในเชิงพานิชย์เป็นสำคัญ
 5. ข้อใดจัดเป็นลักษณะที่ดีของการเขียนรายงาน
ก. นำเสนอความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ข. เปรียบเปลี่ยนท่วงทำนองการเขียนตลอดทั้งเล่ม
ค. จัดลำดับเนื้อหาสาระตามความต้องการของผู้เขียน
ง. ใช้ภาษาให้สอดคล้องกับวัยของผู้อ่าน
6. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการเขียนปกรายงาน
    ก. ให้เขียนชื่อผู้รายงานไว้ตรงกลางของปก
    ข. ใส่รูปภาพ หรือไม่ใส่ก็ได้
    ค. บรรทัดแรกให้เขียนว่า รายงานเรื่อง 
    ง. กรณีมีผู้จัดทำหลายคน ให้ใส่ให้ครบทุกคน
7. จงพิจารณาองค์ประกอบของส่วนต้นรายงานต่อไปนี้
คำนำ
ปกใน
ปกนอก
บัญชีตาราง
บัญชีภาพประกอบ
จงเรียงลำดับส่วนต้นของรายงานให้ถูกต้อง
ก. CBAED
ข. CBEDA
ค. CBEAD
ง. CBADE
8. เพราะเหตุใด จึงต้่องมีการเขียนบทนำ
ก. เพื่อจุดประกายความสนใจของผู้อ่าน
ข. เพื่อบอกความมุ่งหมายของขอบเขตของรายงาน
ค. เพื่อนำเสนอแรงบันดาลใจของผู้เขียน
ง. ถูกทุกข้อ
9. ภาคผนวกมีความสำคัญอย่างไร
     ก. บอกให้ผู้อ่านทราบว่าส่วนต่อไปคืออะไร
     ข. บอกรายชื่อทรัพยากรและสารสนเทศที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
     ค. ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของเนื้อหา
    ง. ช่วยค้นเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
10. จงพิจารณาหัวเรื่องและหัวข้อที่จะศึกษา ข้อใดสัมพันธ์กันน้อยที่สุด
     ก. หัวเรื่อง การโฆษณา หัวข้อ การใช้ทัศนศิลป์ในการโฆษณา
     ข. หัวเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัว หัวข้อ สาเหตุของความรุนแรงและการแก้ปัญหา
     ค. หัวเรื่อง การออกแบบจักรยาน หัวข้อ ผลการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก
     ง. หัวเรื่อง การใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด หัวข้อ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
ตอนที่ 2
คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. อธิบายความแตกต่างระหว่างการเขียนรายงานทั่วไป กับรายงานทางวิชาการ
2. บอกองค์ประกอบของการเขียนรายงานทางวิชาการ
3. เพราะเหตุใด ผู้เขียนจึงต้องให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับหัวข้อ ในส่วนของเนื้อหา
4. บรรณานุกรม และภาคผนวก มีความสำคัญต่อการเขียนรายงานทางวิชาการอย่างไร
5. นางสาวงดงาม ต้่องการเขียนรายงานทางวิชาการ เรื่อง หนองทุ่งมนกับวีถีชีวิตคนในอำเภอเจริญศิลป์
แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร ดังนั้นจึงให้นักเรียนช่วยนางสาวงดงาม เขียนโครงร่างรายงานในหัวข้อต่อไปนี้
5.1) ที่มาและความสำคัญ
5.2) วัตถุประสงค์ (อย่างน้อย ข้อ)
5.3) ความสำคัญ (อย่างน้อย ข้อ)
5.4) หัวข้อรายงาน (อย่างน้อย หัวข้อ)
5.5) แหล่งศึกษาค้นคว้า (อย่างน้อย แหล่ง)